ค่า IP CODE คืออะไร ?
IP Code (ในบางครั้งอาจจะเรียกว่า IP rating) ย่อมาจาก International Protection Marking หรือ Ingress Protection letter code เป็นมาตรฐานสากลที่ทาง IEC (International Electrotechnical Commission) IP CODE จึงนิยมเอามาใช้กำหนดความสามารถในการป้องกันตัวของอุปกรณ์จากสิ่งแวดล้อมภายนอก เพื่อป้องกันวงจรภายในจากน้ำและของแข็ง ซึ่งในบางครั้งอาจจะสามารถป้องกันได้มากกว่าน้ำและของแข็ง เช่น น้ำมัน แรงกระแทก และอื่นๆ เป็นต้น ในวันนี้เราจะมาทำความรู้จักเจ้า IP Code นี้กันว่ามันมีลักษณะหรือระดับการป้องกันยังไง และสุดท้ายวิธีการอ่านค่า IP Code ซึ่งเริ่มแรกเรามารู้จักลักษณะของมันก่อนว่ามันมีหน้าตาเป็นอย่างไร
ลักษณะ IP Code และระดับการป้องกัน
IP Code มีลักษณะขึ้นต้นด้วย IP แล้วตามด้วยตัวเลข 2 หลัก (IP XX) ซึ่งตัวเลขหลักแรกหมายถึงค่าป้องกันอนุภาคของแข็งเข้าไปในอุปกรณ์ ส่วนตัวเลขหลักที่สองหมายถึงค่าป้องกันของเหลว (น้ำ) แทรกซึมเข้าไปในอุปกรณ์ แต่ในบางครั้งอาจจะมีตัวอักษรหนึ่งตัวห้อยท้ายตามหลัง โดย IP Code มี format ตามตารางด้านล่างนี้
วิธีการอ่าน ค่า IP Code หรือ IP rating
วิธีการอ่านให้อ่านค่าทีละตัว โดยเลขหลักแรกหมายถึงการป้องกันอนุภาคของแข็งเข้าไปในอุปกรณ์ ส่วนตัวที่สองหมายถึงการป้องกันของเหลวแทรกซึมเข้าอุปกรณ์
ค่าการป้องกันอนุภาคของแข็งเข้าไปในอุปกรณ์ (Solid Particle Protection) | ค่าการป้องกันของเหลวแทรกซึม | ค่าการป้องกันอื่นๆ | |
IP | เป็นตัวเลขหลักเดียว (0-6) | เป็นตัวเลขหลักเดียว (0-9) (ในบางครั้งอาจจะมีตัวอักษร K ห้อยท้าย) | ตัวอักษรภาษาอังกฤษหนึ่งตัว |
ค่าการป้องกันอนุภาคของแข็ง (Solid Particle Protection)
ค่าการป้องกันที่ว่านี้เป็นคนละตัวกับการป้องกันแรงกระแทกและรอยขีดข่วน โดยค่าการป้องกันนี้เป็นตัวบอกว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้สามารถป้องกันอนุภาคของของแข็งเข้ามาในตัวเครื่องได้ในระดับไหน ซึ่งจะมีด้วยกันอยู่ 7 ระดับ
(0-6) ระดับ 0 ไม่สามารถป้องกันอะไรได้เลย
ระดับ 1 สามารถป้องกันของแข็งที่มีขนาดใหญ่เกิน 50 มิลลิเมตร เข้ามาในอุปกรณ์
ระดับ 2 สามารถป้องกันของแข็งที่มีขนาดใหญ่กว่า 12.5 มิลลิเมตร เข้ามาในอุปกรณ์
ระดับ 3 สามารถป้องกันของแข็งที่มีขนาดใหญ่กว่า 2.5 มิลลิเมตร เข้ามาในอุปกรณ์
ระดับ 4 สามารถป้องกันของแข็งที่มีขนาดใหญ่กว่า 1 มิลลิเมตร เข้ามาในอุปกรณ์
ระดับ 5 สามารถกันฝุ่นได้ระดับหนึ่ง สามารถมีฝุ่นเล็ดรอดเข้าไปในอุปกรณ์ได้เล็กน้อย
ระดับ 6 สามารถป้องกันฝุ่นได้เต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์
หมายเหตุ ค่าป้องกันอนุภาคของแข็งในบางครั้ง อาจจะไม่ได้หมายถึงการป้องกันสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกเข้ามาภายในตัวอุปกรณ์ได้เพียงอย่างเดียว อาจจะหมายถึงการป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ไปสัมผัสกับชิ้นส่วนภายในได้โดยตรง เช่น แผงวงจรหรือสายไฟ โดยวัตถุขนาด 50 มิลลิเมตรนั้นหมายถึงหลังมือของผู้ใช้ ส่วนขนาด 12.5 มิลลิเมตร ป้องกันไม่ให้นิ้วมือเข้าไปสัมผัสกับชิ้นส่วนภายใน ส่วน 2.5 และ 1 มิลลิเมตร มีไว้เพื่อไม่ให้อุปกรณ์ต่างๆ จากภายนอกเข้าถึงตัวชิ้นส่วนภายในได้โดยตรง เช่น ไขขวง คีม สายไฟ ยกตัวอย่างเช่นตู้ ATM ต้องป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เข้าถึงอุปกรณ์ภายในเพื่อป้องกันการโจรกรรม
ค่าการป้องกันของเหลวแทรกซึม (Liquid Ingress Protection) ค่าป้องกันของเหลวในที่นี้หมายถึงค่าการป้องกันของเหลวจำพวกน้ำเท่านั้น ไม่รวมถึงการป้องกันของของเหลวชนืดอื่นที่ไม่ใช่น้ำ อย่างเช่น น้ำมัน ซึ่งค่าป้องกันที่ว่านี้จะมีด้วยกันอยู่ 12 ระดับ (0-9k)
ระดับ 0 ไม่สามารถป้องกันอะไรได้เลย
ระดับ 1 ป้องกันหยดน้ำ (กันน้ำ:waterproof) สามารถป้องกันอุปกรณ์จากหยดน้ำที่ตกกระทบกับอุปกรณ์ในแนวตั้ง ทดสอบโดยการหยดน้ำลงไปบนอุปกรณ์ตรงๆ 10 นาที ในปริมาณน้ำเทียบเท่ากับปริมาณน้ำฝน 1 มิลลิเมตรต่อนาที
ระดับ 2 ป้องกันหยดน้ำ (กันน้ำ:waterproof) ในระดับเอียงได้ถึง 15 องศา สามารถป้องกันอุปกรณ์จากหยดน้ำที่ตกกระทบกับอุปกรณ์ได้ในมุม 15 องศาจากแนวตั้งได้ ทดสอบโดยการหยดน้ำลงไปบนอุปกรณ์ตรงๆ 10 นาที ในปริมาณน้ำเทียบเท่ากับปริมาณน้ำฝน 3 มิลลิเมตรต่อนาที
ระดับ 3 ป้องกันการฉีดน้ำ (กันน้ำ:waterproof) ในระดับเอียงได้ถึง 60 องศา สามารถป้องกันอุปกรณ์จากการฉีดน้ำที่ตกกระทบกับอุปกรณ์ได้ในมุม 60 องศาจากแนวตั้งได้โดยไม่ก่อเกิดความเสียหายกับอุปกรณ์ ทดสอบโดยการฉีดน้ำลงไปบนอุปกรณ์ตรงๆ 5 นาที ในปริมาณน้ำ 700 มิลลิลิตรต่อนาทีด้วยแรงดันน้ำ 80 – 100 กิโลปาสคาล
ระดับ 4 ป้องกันน้ำ (กันน้ำ:waterproof) จากการสาด (น้ำสามารถเข้าไปในอุปกรณ์ได้เล็กน้อย) สามารถป้องกันน้ำจากการสาด (Water splashing) ในทุก ๆ ทิศทาง โดยมีโอกาสที่น้ำจะเข้าไปได้เล็กน้อย ทดสอบโดยการฉีดน้ำลงไปบนอุปกรณ์รอบทิศทาง 5 นาที ในปริมาณน้ำ 10 ลิตรต่อนาทีด้วยแรงดันน้ำ 80 – 100 กิโลปาสคาลที่ระยะห่าง 3 เมตร
ระดับ 5 ป้องกันน้ำ (กันน้ำ:waterproof) จากการฉีด สามารถป้องกันน้ำจากหัวฉีดน้ำขนาด 3 มิลิเมตรได้รอบทิศทางได้โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายกับอุปกรณ์ ทดสอบโดยการฉีดน้ำลงไปบนอุปกรณ์รอบทิศทาง 15 นาที ในปริมาณน้ำ 12.5 ลิตรต่อนาทีด้วยแรงดันน้ำ 30 กิโลปาสคาลที่ระยะห่าง 3 เมตร
ระดับ 6 ป้องกันน้ำ (กันน้ำ:waterproof) จากการฉีดด้วยแรงฉีดที่มากกว่าระดับ 5 (น้ำสามารถเข้าไปในอุปกรณ์ได้เล็กน้อย) สามารถป้องกันน้ำจากหัวฉีดขนาด 5 มิลิเมตรได้รอบทิศทางได้โดยมีโอกาสที่น้ำจะเข้าไปได้เล็กน้อย ทดสอบโดยการฉีดน้ำลงไปบนอุปกรณ์รอบทิศทาง 3 นาที ในปริมาณน้ำ 100 ลิตรต่อนาทีด้วยแรงดันน้ำ 100 กิโลปาสคาลที่ระยะห่าง 3 เมตร
ระดับ 6 Kป้องกันน้ำ (กันน้ำ:waterproof) จากการฉีดน้ำด้วยแรงดันสูง (น้ำสามารถเข้าไปในอุปกรณ์ได้เล็กน้อย) เป็นมาตรฐานที่ต่อยอดจากระดับ 6 สามารถป้องกันน้ำจากหัวฉีดแรงดันสูงขนาด 12.5 มิลิเมตรได้รอบทิศทางได้โดยมีโอกาสที่น้ำจะเข้าไปได้เล็กน้อย ทดสอบโดยการฉีดน้ำลงไปบนอุปกรณ์รอบทิศทาง 3 นาที ในปริมาณน้ำ 75 ลิตรต่อนาทีด้วยแรงดันน้ำ 1000 กิโลปาสคาลที่ระยะห่าง 3 เมตร
ระดับ 7 ป้องกันอุปกรณ์จากการจมน้ำ (กันน้ำซึม:water resistant) ได้ลึกถึง 1 เมตร ป้องกันการแทรกซึมของน้ำเข้าไปในอุปกรณ์เมื่อนำอุปกรณ์ลงไปแช่น้ำในความลึกสูงสุด 1 เมตร การทดสอบจะนำอุปกรณ์ไปแช่น้ำในความลึกขั้นต่ำ 15 เซ็นติเมตร สูงสุด 1 เมตร นาน 30 นาที
ระดับ 8 ป้องกันอุปกรณ์จากการจมน้ำ (กันน้ำซึม:water resistant) ได้ลึกมากกว่า 1 เมตร ป้องกันการแทรกซึมของน้ำเข้าไปในอุปกรณ์เมื่อนำอุปกรณ์ลงไปแช่น้ำในความลึกที่มากกว่า 1 เมตรภายใต้เงื่อนไขที่ผู้ผลิตอุปกรณ์นั้นๆ จะกำหนด อย่างสมาร์ทโฟนจำเป็นต้องปิดจุดเชื่อมต่อทั้งหมดก่อนจะนำลงน้ำ ส่วนความลึกสูงสุดจะเท่าไรก็ได้ตามแต่ผู้ผลิตอุปกรณ์จะกำหนดแต่ต้องมากกว่า 1 เมตร แต่ส่วนใหญ่จะกำหนดไว้ที่ 3 เมตร แต่อย่างไรก็ตามอุปกรณ์นั้นๆ อาจจะมีน้ำแทรกซึมเข้าไปในอุปกรณ์ได้โดยที่ไม่ทำให้อุปกรณ์เสียหาย
ระดับ 9 Kป้องกันน้ำ (กันน้ำ:waterproof) จากการฉีดด้วยแรงดันและน้ำอุณหภูมิสูง ป้องกันน้ำจากการฉีดน้ำแรงดันสูงในระยะใกล้ ๆ ด้วยน้ำที่มีอุณหภูมิสูง
ค่าการป้องกันอื่น ๆ เป็นมาตรฐานการป้องกันเพิ่มเติม มีไว้ป้องกันอันตรายจากการเข้าถึงอุปกรณ์จากสิ่งต่างๆ ซึ่งมักจะมีค่าเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวเดียวมีลักษณะดังนี้
-
- A ป้องกันอันตรายหากเอาหลังมือ (Back of Hand) ไปสัมผัสกับตัวอุปกรณ์
- B ป้องกันอันตรายหากเอานิ้ว (Finger) ไปสัมผัสกับตัวอุปกรณ์
- C ป้องกันอันตรายหากเอาทูลอย่างเช่น ไขขวง ถ้าไปสัมผัสกับตัวอุปกรณ์
- D ป้องกันอันตรายหากเอาสายไฟไปสัมผัสกับตัวอุปกรณ์
นอกเหนือจากนี้อาจจะยังมีตัวอักษรที่สามารถผนวกเข้าไปเพิ่มเติมใน IP Code ได้ เพื่อบอกข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวข้องกับการป้องกันของตัวอุปกรณ์ มีลักษณะดังนี้
- F ป้องกันอุปกรณ์จากน้ำมัน
- H อุปกรณ์ไฟฟ้าแรงดันสูง (High voltage device)
- M ในขณะที่ทดสอบการกันน้ำอุปกรณ์มีการเคลื่อนไหว
- S ในขณะที่ทดสอบการกันน้ำอุปกรณ์ไม่มีการเคลื่อนไหว
- W เงือนไขเกี่ยวกับสภาวะอากาศ
ตัวอย่างเช่น
- มอเตอร์ Mitsubishi ขนาด 10HP มีค่า IP Code เป็น IP 55 หลักแรกคือเลข 5 ทั้งสองชุด (IP 5X) นั่นหมายความว่า มอเตอร์ Mitsubishi สามารถกันฝุ่นเข้าโดยสมบูรณ์แบบ (IP 5X) โดยที่ฝุ่นจะไม่สามารถเล็ดลอดเข้าไปในตัวเครื่องได้ และป้องกันน้ำจากหัวฉีดน้ำขนาด 3 มิลิเมตรได้รอบทิศทางได้โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายกับอุปกรณ์ เมื่อปิดช่องเชื่อมต่อทั้งหมดและฝาหลังต้องปิดสนิท
ข้อควรระวังและความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับ IP Code โดยค่าป้องกันการกระแทกในมาตรฐาน IP Code จริงๆ แล้วมันก็มี เป็นตัวเลขหลักที่ 3 ของ IP Code (IP XXX) แต่ในปัจจุบันเลิกใช้ไปแล้ว สุดท้ายแล้วอยากฝากเตือนว่าอย่าไว้ใจมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่นพวกนี้มากเกินไป ถึงแม้ว่าเครื่องมือเหล่านี้จะกันน้ำกันฝุ่น แต่ก็ไม่มีผู้ผลิตค่ายไหนรับประกันความเสียหายที่เกิดจากฝุ่นและน้ำ 100% นอกจากนี้แล้วหลังจากที่เครื่องมือเหล่านี้ ไปคลุกฝุ่นหรือลงน้ำแล้ว แนะนำให้ทำความสะอาดเครื่องหรือเช็ดให้แห้ง ไม่ควรที่จะให้น้ำเกาะตัวเครื่องนานเกินไป ถึงแม้ว่าตัวเครื่องจะกันน้ำก็จริง แต่มันอาจจะไม่สามารถกันความชื้นได้ เมื่อความชื้นสะสมเข้ามากๆ อาจจะก่อให้เกิดเป็นหยดน้ำที่ไปโผล่ในตัวเครื่อง และสร้างความเสียหายได้ อ้างอิง WikiPedia และสุดท้ายขอบคุณรูปภาพประกอบน่ารักจาก http://www.ssl.co.th/blog
ตัวอย่างสินค้า Motor Mitsubishi IP 55
Motor Mitsubishi SF-JRV IP55 “Vertical Type”
Motor Mitsubishi SF-JV IP55 “Vertical Type”
Motor Mitsubishi SF-J IP55 “Horizontal Type”
สอบถามข้อมูลได้ที่
088-227-6543,02-618-5000
[vc_single_image image=”187069″ img_size=”full” onclick=”custom_link” link=”https://lin.ee/CoLY8NF”]